โฟเด้นซัดกู้ชีพ! แมนซิตี้ตามเจ๊าเวสต์แฮมหืดชวดขึ้นท็อปโฟร์-ฟาเบียนสกี้สุดเหนียว

ฟิล โฟเด้น สวมบทซูเปอร์ซัพลงมาซัดประตูช่วยให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตามตีเสมอ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด แบ่งแต้มไปด้วยสกอร์ 1-1 ทำให้ "เรือใบสีฟ้า" รั้งที่ 11 ของตาราง ชวดโอกาสเก็บ 3 แต้มเพื่อขยับขึ้นไปรั้งท็อปโฟร์ชั่วคราว ส่วนทีม "ขุนค้อน" ไร้พ่าย 3 นัดรวดรั้งที่ 10 ของตาราง ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันที่ 24 ต.ค.ที่ผ่านมา

    การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ คู่แแรกประจำวันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2563 ที่สนาม ลอนดอน สเตเดี้ยม ระหว่าง เวสต์แฮม ยูไนเต็ด พบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้

    เดวิด มอยส์ กุนซือเวสต์แฮม กำลังโชว์ฟอร์มเยี่ยมไม่แพ้มา 2 เกมแล้ว เกมนี้ได้ มิคาอิล อันโตนิโอ  ผ่านความฟิตลงเป็นตัวจริงในตำแหน่งหัวหอกตัวเป้า ขณะที่ตำแหน่งอื่นๆพร้อมลงประจำการทั้งหมด ฟาเบียน บัลบูเอน่า, อันเจโล่ อ็อกบอนน่า, โทมัส ซูเช็ค, เดแคลน ไรซ์ และ ปาโบล ฟอร์นัลส์

    ด้าน เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือ แมนฯ ซิตี้ เกมนี้ใส่ชื่อของ เควิน เดอ บรอยน์ เป็นสำรองเท่านั้นหลังมีอาการเจ็บรบกวน เช่นเดียวกับ นาธาน อาเก้ ที่ไร้ชื่อ โดยสามแนวรุกวาง ริยาด มาห์เรซ, ราฮีม สเตอร์ลิง และ เซร์คิโอ อเกวโร่

    เปิดฉากครึ่งแรกมา แมนซิตี้ เดินเกมบุกเข้าใส่ทันที ได้ขึงบุกใส่อย่างต่อเนื่อง นาที 13 อิลคาย กุนโดกัน เติมขึ้นมาหน้าเขตโทษแล้วลองกดด้วยซ้ายแต่บอลไม่ตรงกรอบ

    อย่างไรก็ตาม เวสต์แฮม ที่เกมเป็นรองมีโอกาสโต้กลับขึ้นมา และได้ประตูพลิกนำก่อน 1-0 ในนาที 18 จากจังหวะที่ วลาดิเมียร์ คูฟาล เปิดจากริมเส้นฝั่งขวาเข้าเขตโทษให้ มิคาอิล อันโตนิโอ แล้วจักรยานอากาศตามน้ำส่งบอลเข้าประตูไปอย่างสวยงาม 

    หลังจากนั้น "เรือใบสีฟ้า" พยายามโหมบุกใส่อยู่ฝ่ายเดียวแต่ยังเจาะเกมรับเจ้าถิ่นไม่ได้ และต้องลุ้นซัดไกลจากนอกกรอบของ เอริค การ์เซีย ที่เติมขึ้นมาลองส่องแต่บอลเฉียดเสาแรกออกไปนิดเดียว ในนาที 34  

    ท้ายครึ่งแรก เวสต์แฮม มีโอกาสตอบโต้บุกใส่เช่นกัน แต่สุดท้ายทั้งสองทีมทำอะไรกันเพิ่มไม่ได้ ทำให้จบครึ่งแรก เวสต์แฮม นำอยู่ 1-0

    ครึ่งหลัง แมนซิตี้ เริ่มด้วยการถอด เซร์คิโอ อเกวโร่ ออกจากสนามแล้วส่ง ฟิล โฟเด้น ลงเล่นแทน แล้วดัน ราฮีม สเตอร์ลิง ขึ้นไปยืนเป็นกองหน้าตัวเป้า

    เกมดำเนินมาถึง นาที 51 แมนซิตี้ มาได้ประตูตีเสมอป็น 1-1 ชูเอา กานเซโล่ เติมขึ้นมาแล้วจ่ายบอลยัดให้ ฟิล โฟเด้น ตัวสำรองเอี้ยวตัวซัดด้วยซ้ายจ่อๆบอลเบียดเสาแรกเข้าประตูไป

    ถัดมา นาที 68 "ขุนค้อน" มีโอกาสโต้กลับมาอีกครั้ง อังเดร ยาโมเลนโก้ ลากจากริมเส้นฝั่งขวาแล้วตัดเข้าในซัดด้วยซ้ายบอลเหินข้ามคานออกไปนิดเดียว

    นาที 84 ปาโบล ฟอร์นัลส์ มีโอกาสที่จะทำให้ เวสต์แฮม แซงนำอีกครั้งเมื่อหลุดเดี่ยวมาตั้งแต่กลางสนามพยายามจะชิพข้ามตัว เอแดร์ซอน ที่ออกมาปิดมุมแต่บอลไม่มีน้ำหนักไปเข้าซองนายด่านชาวบราซิลรับสบาย

    ท้ายเกมนาที 86 แมนซิตี้ พลาดโอกาสทองที่จะขึ้นนำเมื่อ เควิน เดอ บรอยน์ จ่ายบอลทะลุช่องให้ ราฮีม สเตอร์ลิง หลุดเดี่ยวแต่ยิงไม่ผ่านมือของ ลูคัส ฟาเบียนสกี้ โชว์ซูเปอร์เซฟปัดออกหลังไป

    เวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่ม จบเกม เวสต์แฮม เปิดบ้านเสมอ แมนฯ ซิตี้ 1-1
   
   
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม

เวสต์แฮม ยูไนเต็ด (5-4-1) : ลูคัส ฟาเบียนสกี้ – วลาดิเมียร์ คูฟาล, ฟาเบียน บัลบูเอน่า, อันเจโล่ อ็อกบอนน่า, อารอน เครสส์เวลล์, อาร์กตูร์ มาซูอากู – จาร์ร็อด โบเว่น, โทมัส ซูเช็ค, เดแคลน ไรซ์, ปาโบล ฟอร์นัลส์ – มิคาอิล อันโตนิโอ (อังเดร ยาโมเลนโก้ น.52)

แมนฯ ซิตี้ (4-3-3) : เอแดร์ซอน โมราเอส – ไคล์ วอล์คเกอร์, รูเบน ดิอาซ, เอริค การ์เซีย, ชูเอา กานเซโล่ – แบร์นาร์โด้ ซิลวา (เควิน เดอ บรอยน์ น.69), โรดรี้ เอร์นานเดซ, อิลคาย กุนโดกัน – ริยาด มาห์เรซ, เซร์คิโอ อเกวโร่ (ฟิล โฟเด้น น.46), ราฮีม สเตอร์ลิง

ลงตัว!แกรี่เผยโซลชาอาจเลือกถูก3หนุ่ม3มุมแผงมิดฟิลด์

แกรี่ เนวิลล์ ระบุ การจับ บรูโน่ แฟร์นันด์ส, สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ และ เฟร็ด เป็นตัวจริงร่วมกันอาจจะเป็นการเลือกที่ถูกต้องของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กุนซือ แมนฯ ยูไนเต็ด เพราะมันทำให้เกมรับเหนียวแน่นขึ้นจนเสียเพียง 2 ลูกใน 3 นัดหลังสุด ต่างกับ 5 เกมแรกที่เสียไปถึง 11 ประตู พร้อมชี้ว่าแท็คติกแบบนี้ก็เคยส่งผลดีกับ โซลชา มาตั้งแต่ฤดูกาลก่อน
    แกรี่ เนวิลล์ ตำนานแบ็กขวาของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรดังแห่งเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ แสดงความเห็นว่า โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ผู้จัดการทีม "ปีศาจแดง" อาจจะทำถูกแล้วที่จัดให้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส, สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ และ เฟร็ด ลงเล่นเป็นตัวจริงร่วมกัน เพราะมันทำให้เกมรับของทีมดีขึ้น

    โซลชา โดนตั้งคำถามถึงเรื่องการจัดทีมเยอะพอตัวในช่วงที่ผ่านมา หลังจากที่ไม่ส่งทั้ง ปอล ป็อกบา กับ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค เป็นตัวจริง และเลือกใช้งาน บรูโน่ แฟร์นันด์ส, สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ รวมถึง เฟร็ด เป็น 3 ประสานในแดนกลางตั้งแต่ต้นเกมในช่วง 3 นัดหลังสุด แต่มันก็ทำให้พวกเขาชนะ 2 เกมกับเสมอ 1 นัด รวมถึงเสียเพียง 2 ประตูเท่านั้น ต่างกับ 5 เกมก่อนหน้านั้นที่เสียไปถึง 11 ประตูและแพ้ 2 เกมแบบฟ้ากับเหว

    เนวิลล์ เผยว่า "ถ้าคุณลองดูเกมนัดเปิดฤดูกาลของ แมนฯ ยูไนเต็ด (แพ้ คริสตัล พาเลซ 1-3) แล้วล่ะก็ คุณก็จะเห็นว่าพวกเขาเคยให้ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ยืนคู่กับ ป็อกบา ในตำแหน่งกลางสนาม ประเด็นคือ ป็อกบา เป็นนักเตะที่สไตล์การเล่นต่างจากทั้ง เฟร็ด, แม็คโทมิเนย์ และ เนมานย่า มาติช อย่างสิ้นเชิง ซึ่งมันก็ทำให้พวกเขาโดนเล่นงานได้ง่ายตามไปด้วย"

    "ป็อกบา กับ แฟร์นันด์ส ต่างก็เป็นพวกที่เน้นเกมรุกเป็นหลัก ทั้งคู่ต่างก็คิดถึงการสร้างโอกาสทำประตูรวมถึงการยิงประตูเองมากกว่าการเล่นเกมรับ มันทำให้แนวตรงหน้าแผงหลังของ แมนฯ ยูไนเต็ด เหลือกองกลางที่ช่วยเกมรับแค่คนเดียว ซึ่งมันก็ทำให้วันนั้น พาเลซ ฉีก แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นชิ้นๆ แนวรุกของคู่แข่งไปถึงแผงแบ็กโฟร์ง่ายเกินกว่าที่ควรจะเป็นมากๆ แถมยังเกิดชอตแบบนั้นเยอะเกินไปด้วย ซึ่งเดิมที 2 เซนเตอร์แบ็กของพวกเขาก็ไม่ใช่พวกที่เก่งในเรื่องการดวลตัวต่อตัวอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ที่ไม่มีความเร็วตั้งแต่แรก"

    "หลังจากนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด ก็มีเกมที่ปล่อยให้คู่แข่ง (หมายถึงเกมลีกที่ชนะ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน 3-2) ได้ยิงหลายหน ก่อนที่สุดท้ายพวกเขาจะเจอวันที่เลวร้ายในเกมกับ ท็อตแน่ม  ที่พวกเขาแพ้แบบขาดลอย 1-6"

    "คำถามคืออะไรที่มันแตกต่างออกไปหลังจากพ้นโปรแกรมเกมทีมชาติไปแล้ว ? นั่นก็คือ โอเล่ กลับไปจัดทีมตามแบบที่ช่วยให้เขาทำผลงานได้ดีเมื่อฤดูกาลก่อน ซึ่งได้แก่การทำให้เกิดกรอบสี่เหลี่ยมในด้านเกมรับอันประกอบไปด้วย วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ, แม็กไกวร์, เฟร็ด, แม็คโทมิเนย์ ทั้งหมดต่างก็เป็นนักเตะประเภทที่เน้นเกมรับเป็นหลัก พวกเขาต่างก็เข้าหาบอลได้เร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 2 กองกลาง (หมายถึง เฟร็ด กับ แม็คโทมิเนย์) ที่ยืนอยู่หน้าคู่เซนเตอร์แบ็ก"

    "ดังนั้นทุกครั้งที่ แมนฯ ยูไนเต็ด โดนคู่แข่งบุกใส่ และบอลไปถึงแผงกลางของ เชลซี แล้วน่ะ พวกเขาเหล่านั้นต่างก็พุ่งเข้าใส่นักเตะของ เชลซี อย่างรวดเร็ว การใช้แท็กติกนี้ยังช่วยทำให้ อารอน วาน-บิสซาก้า กับ ลุค ชอว์ ฟูลแบ็กทั้ง 2 ข้างของ แมนฯ ยูไนเต็ด เล่นแบบดุดันได้ด้วย โดยที่กองกลางทั้ง 2 คนก็เล่นแบบดุดันในพื้นที่ของพวกเขา พวกเขาทำงานร่วมกันได้ดี และมันก็ทำให้ ลินเดอเลิฟ กับ แม็กไกวร์ ซึ่งเป็น 2 กองหลังของ แมนฯ ยูไนเต็ด โดนเล่นงานน้อยลงเช่นกัน"

    "สำหรับผมแล้วมันแทบจะเหมือนกับว่า โอเล่ คิดว่า -ฉันต้องกลับไปสู่พื้นฐานที่ดีซะแล้ว ฉันจะเสียประตูมากมายก่ายกองต่อไปไม่ได้- แน่นอนว่าเขามีปัญหากับเรื่องการจัดทีมในกรณีของ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค กับ ป็อกบา (ที่ไม่ได้เป็นตัวจริง) แต่สัปดาห์นี้เขากลับไปสู่พื้นฐานของตัวเอง และมันทำให้คู่แข่งเล่นงานพวกเขาได้ยาก พร้อมกับส่งผลให้ทีมเสียประตูน้อยลง และโดนคู่แข่งยิงใส่น้อยกว่าเดิมตามไปด้วย"

ปูด!อินเตอร์พร้อมขาย “อีริคเซ่น” หลังฟอร์มห่วย

สื่อดังในอิตาลี รายงาน อินเตอร์ มิลาน พิจารณาที่จะขาย คริสเตียน อีริคเซ่น ออกจากสโมสร หลังนักเตะไม่สามารถงัดฟอร์มเก่งออกมาได้เลย โดยงานนี้ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง พร้อมรับเซ้งเนื่องจากอยากได้ แข้งชาวเดนมาร์กรายนี้มานานแล้ว

คริสเตียน อีริคเซ่น กองกลางชาวเดนมาร์กของ อินเตอร์ มิลาน สามารถที่จะย้ายออกจากทัพ "งูใหญ่" ในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะรอบ 2 เดือนมกราคมนี้ ทั้งๆ ที่เพิ่งจะย้ายมาอยู่กับทีมแค่ปีเดียวเท่านั้น จากการเปิดเผยของ กัลโช่แมร์กาโต้ดอตคอม เว็บไซต์ดังในอิตาลี

อันโตนิโอ คอมเต้ กุนซือ "เนรัซซูรี่" ยังไม่ค่อยไว้วางใจในฝีเท้าของ อีริคเซ่น ว่าเหมาะกับสโมสรแห่งนี้ และกำลังพิจารณาที่จะขายเขาออกไปในราคาที่เหมาะสมช่วงต้นปีหน้า ขณะที่ "เปแอสเช" ปารีส แซงต์-แชร์กแมง แสดงความสนใจอยากได้ ดาวเตะวัย 28 ปีไปร่วมทีมเช่นกัน

จากรายงานของเว็บไซต์กัลโช่แมร์กาโต้ดอตคอม ระบุว่า เลโอนาร์โด้ ผู้อำนวยการกีฬา "เปแอสเช" ได้เริ่มเปิดการเจรจากับเอเจนต์ของ อีริคเซ่น แล้ว และหากไม่มีปัญหาอะไรพวกเขาก็จะได้นักเตะที่หมายปองมาตั้งแต่ต้นปี 2020 แต่ต้องพลาดคว้าตัวเพราะโดน อินเตอร์ ปาดหน้าเอาไปก่อน มาร่วมทีม

ทั้งนี้ อีริคเซ่น ย้ายจาก ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ มาอยู่ในถิ่นจูเซ็ปเป้ เมอัซซ่า ด้วยสนนราคาเพียงแค่ 17.5 ล้านปอนด์ (ราว 665 ล้านบาท) ไม่ถึง 1 ปีเต็ม แต่เขาได้ลงสนามเป็นตัวจริงแค่ 9 เกมในศึกกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี และ 29 เกมจากทุกรายการ ที่สำคัญนักเตะยิงได้แค่ 1 ประตูกับ 3 แอสซิสต์เท่านั้น ด้วยฟอร์มที่ย่ำแย่ทำให้ คอนเต้ ตัดสินใจดร็อปเขาออกจากทีม

เร็วสุดแค่14วิ! เปิดท็อป4แข้งยิงประตูด่วนจี๋ไทยลีก2020

ผ่านเข้าสู่นัดที่ 10 ในเลกแรก ของการแข่งขันฟุตบอลไทยลีกฤดูกาล 2020-2021วันนี้ทางทีมข่าวขอนำบทสรุป 4 อันดับนักเตะที่ทำสถิติยิงเร็วสุดในฤดูกาลนี้ ไปดูกันว่ามีใครบ้าง

อันดับ 1.ทำสถิติยิงเร็ว  14 วินาที สุมัญญา ปุริสาย บีจี ปทุม ยูไนเต็ด

สุมัญญา ปุริสาย ของบีจี ปทุม ยูไนเต็ด เป็นเจ้าของสถิติยิงเร็วสุด ของไทยลีก 2020 เลกแรก โดยใช้เวลาเพียงแค่ 14 วินาที เกมที่พา บีจี บุกไปนำ สุโขทัย เอฟซี ก่อน 1-0 เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2563 ที่สนามทุ่งทะเลหลวง และเป็นประตูแรกของเจ้าตัวในซีซั่นนี้อีกด้วย

อันดับ 2.ทำสถิติยิงเร็ว  33 วินาที แจ็คสัน โคเอลโญ่  สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด

เป็นนักเตะ "กว่างโซ่ง" สิงห์เชียงราย ฯ สัญชาติบราซิล อดีตแข้ง บุรีรัมย์ฯ และ เอสซีจี เมืองทองฯ อย่าง "ชาช่า" แจ็คสัน โคเอลโญ่ เจ้าตัวทำสถิติอันดับ 2 ขณะนี้โดยใช้เวลาแค่ 33 วินาที หลังจากผู้ตัดสินเป่าเริ่มเกมนัดที่ สิงห์เชียงรายฯ เปิดบ้าน ชนะ ราชบุรีฯ ไป 2-1 เมื่อ 17 ต.ค. 63 ที่ผ่านมา

อันดับ 3.ทำสถิติยิงเร็ว 48 วินาที เอลิอันโดร  สุพรรณบุรี เอฟซี

ส่วน อันดับ 3 ของสถิติการยิงเร็วสุดในฤดูกาล 2020 นี้เกิดขึ้นเมื่อ 19 ก.ย. 2563 ที่สนาม ทรู สเตเดี้ยม เกมที่ ทรู แบงค็อกฯ แซง ชนะ สุพรรณบุรี เอฟซี  ได้ 2-1 โดยแค่ 48 วินาที ของเกม เอลิอันโดร กองหน้าบราซิล ของ "ช้างศึกยุทธหัตถี"  ซัดให้ สุพรรณบุรี  บุกไปนำก่อน แต่ทีมแพ้ไปในที่สุด

อันดับ 4.ทำสถิติยิงเร็ว   1 นาที 4 วินาที มุสตาฟา อาซัตซอย  ตราด เอฟซี

และปิดท้ายที่ อันดับ 4 ยิงเร็วไทยลีก 2020 เป็นเกมที่สนามกีฬา จ.สุพรรณบุรี เอฟซีเมื่อ 3 ต.ค. 2563 เกมที่ ทีมเยือน ตราดฯ ที่ยังไม่เคยชนะมาก่อนหน้านี้บุกไปชนะ สุพรรณบุรี  ได้ถึงถิ่น 2-1 โดย ประตูแรกของเกม เกิดขึ้นหลังเกมผ่านไปแค่ 1 นาที 4 วินาทีเท่านั้น จากลูกโขกของ มุสตาฟา อาซัตซอย กองหน้า อัฟกานิสถาน  ที่ทำให้ทีมบุกไปนำก่อน 1-0 และ ชนะไปในที่สุด 2-1

ลิเวอร์พูล ไร้ติอาโก้จัด “โชต้า” ตัวจริงรับมือ มิดทิลลันด์ ศึกชปล.

"หงส์แดง" หวังโกยอีก 3 แต้มหลังเกมนี้ได้กลับมาเฝ้ารังรับมือ มิดทิลลันด์ ทีมดังจากเดนมาร์ก ซึ่งเกมนี้ยังไร้ ติอาโก้ อัลกันตาร่า ห้องเครื่องตัวเก่งที่ยังมีอาการบาดเจ็บ ส่วนแนวรุกจะให้ ดีโอโก้ โชต้า ออกสตาร์ทตัวจริงประสานงานร่วมกับ 3 ประสานทั้ง โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, ซาดิโอ มาเน่ และโมฮาเหม็ด ซาลาห์ ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม คืนวันอังคารที่ 27 ตุลาคม นี้
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กลุ่ม ดี
ลิเวอร์พูล (อังกฤษ) – มิดทิลลันด์ (เดนมาร์ก)       
วันอังคารที่ 27 ตุลาคม 2563 เวลา : 03.00 น.
สนาม : แอนฟิลด์

สภาพทีมโดยทั่วไป

ลิเวอร์พูล

    เจอร์เก้น คล็อปป์ เทรนเนอร์ลิเวอร์พูล พาทีมเบียดชนะอาแจ็กซ์ 1-0 ในนัดแรก ก่อนเชือดเชฟฯ ยูไนเต็ด 2-1 ในเกมลีกล่าสุด เป็นชัยชนะ 2 นัดติด 

    ความพร้อมเกมนี้ คล็อปป์ ออกมายืนยันแล้วว่า ติอาโก้ อัลกันตาร่า และ โฌแอล มาติป จะพลาดเกมเปิดรังรับทีมจากแดนโคนมเช่นเดียว ขณะที่ นาบี เกอิต้า แม้ผลตรวจโควิด-19ล่าสุดออกมาเป็นลบ แต่ยังต้องเช็กสภาพร่างกาย

    ส่วนพวกที่เดี้ยงอยู่ก่อนทั้ง เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน และ คอนสแตนตินอส ซิมิคาส ต้องพักยาวเหมือนเดิม

    สำหรับแกนหลักขาประจำรายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, จอร์จินโย่ ไวนัลดุม, โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ รวมทั้ง ดีโอโก้ โชต้า ที่ซัดประตูชัยในเกมเปิดบ้านเฉือน เชฟฯยุไนเต็ด 2-1 น่าจะได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงเช่นกัน

มิดทิลลันด์

    ไบรอัน ปริสเก้ เทรนเนอร์มมิดทิลลันด์ พาทีมเปิดฉากรอบแบ่งกลุ่มได้อย่างน่าหดหู่ หลังแพ้อตาลันต้าเละ 0-4 แต่ก็แก้ตัวได้ด้วยการเบียดชนะบรอนด์บี้ 3-2 ในเกมลีกล่าสุด เป็นชัยชนะนัดที่ 3 ในรอบ 5 เกม 

    สภาพทีมเกมนี้ ปริสเก้ จะชวดใช้งาน โอลิเวอร์ โอลเซ่น และ คริสเตียน ริส ที่บาดเจ็บอยู่ก่อนแล้วเหมือนเดิม

    นอกจากนั้นไม่มีปัญหาอะไรรบกวนเพิ่ม แกนหลักประจำทีมรายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น เอริค สเวียตเชนโก้, อเล็กซานเดอร์ โชลซ์, แฟร้งค์ ออนเยก้า, โซรี่ กาบ้า และ ปิยอน ซิสโต้ แนวรุกทีมชาติเดนมาร์ก ต่างพร้อมช่วยทีมทั้งหมด

นักเตะที่คาดว่าจะลงสนาม

    ลิเวอร์พูล (4-2-3-1) : อลีสซง เบ็คเกอร์ – เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, ฟาบินโญ่, โจ โกเมซ, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน – จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, จอร์จินโย่ ไวนัลดุม – ดีโอโก้ โชต้า, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, ซาดิโอ มาเน่ – โมฮาเหม็ด ซาลาห์

    เทรนเนอร์ : เจอร์เก้น คล็อปป์

    มิดทิลลันด์ (4-2-3-1) : เยสเปอร์ ฮันเซ่น – โยเอล อันเดอร์สสัน, เอริค สเวียตเชนโก้, อเล็กซานเดอร์ โชลซ์, เปาลินโญ่ – เยนส์ คายุสเต้, แฟร้งค์ ออนเยก้า – อันเดอร์ส เดรเยอร์, ปิยอน ซิสโต้, อาเวอร์ มาบิล – โซรี่ กาบ้า  

    เทรนเนอร์ : ไบรอัน ปริสเก้

    ผู้ตัดสิน : พาเวล ราซคอฟสกี้ (โปแลนด์)

ผลการพบกัน 5 นัดหลังสุด
ไม่เคยพบกัน

ผลงาน 5 นัดหลังสุด
ลิเวอร์พูล
25/10/20 ชนะ เชฟฯ ยูไนเต็ด 2-1 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
21/10/20 ชนะ อาแจ็กซ์ 1-0 (เยือน) ชปล.
17/10/20 เสมอ เอฟเวอร์ตัน 2-2 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
04/10/20 แพ้ แอสตัน วิลล่า 2-7 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
01/10/20 เสมอ อาร์เซน่อล 0-0 (เหย้า) ลีก คัพ

มิดทิลลันด์
24/10/20 ชนะ บรอนด์บี้ 3-2 (เยือน) ซูเปอร์ลีกา
22/10/20 แพ้ อตาลันต้า 0-4 (เหย้า) ชปล.
17/10/20 ชนะ โอเดนเซ่ 3-1 (เหย้า) ซูเปอร์ลีกา
04/10/20 เสมอ ฮอร์เซ่นส์ 2-2 (เยือน) ซูเปอร์ลีกา
01/10/20 ชนะ สลาเวีย ปราก 4-1 (เหย้า) ชปล.

เลสเตอร์เช็กฟิต “วาร์ดี้”,อาร์เซน่อลส่ง “ปาร์เตย์” ตัวจริงหนุน “โอบาเมย็อง”โป้ง

"จิ้งจอกสีน้ำเงิน" เลสเตอร์ ซิตี้ ต้องลุ้น เจมี่ วาร์ดี้ ดาวยิงตัวเก่งฟิตสมบูรณ์ทันลงช่วยทีมล่าตาข่ายเกมเยือนถิ่น "ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล ที่คาดว่าจะส่ง โธมัส ปาร์เตย์ ลงตัวจริงป้อน ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง ปิดสกอร์ ในศึกฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันอาทิตย์ที่ 25 ต.ค. ศกนี้ ถ่ายทอดสด : True Premier HD1 (เวลา : 02.15 น.)
ปรีวิวฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม 2563
อาร์เซน่อล   –   เลสเตอร์ ซิตี้
ถ่ายทอดสด : True Premier HD1   (เวลา : 02.15 น.)

สนาม : เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม

อาร์เซน่อล :

    เจ้าบ้านปืนใหญ่ภายใต้การคุมทัพของ มิเกล อาร์เตต้า ผลงานนัดล่าสุดบุกชนะ ราปิด เวียนนา 2-1 ในศึกยูโรปา ลีก เมื่อกลางสัปดาห์ และในเกมลีกเมื่อสัปดาห์ก่อน แพ้ แมนฯซิตี้ 0-1

    ความพร้อมในเกมนี้ ต้องรอเช็กความฟิตของ วิลเลี่ยน และ ดานี่ เซบายอส ซึ่งมีอาการบาดเจ็บติดตัวเล็กน้อย แค่คาดว่าจะฟิตทันเกมวันนี้ และได้ออกสตาร์ตเป็นตัวจริง ส่วน

    ร็อบ โฮลดิ้ง กองหลังที่เจ็บเอ็นหลังหัวเข่า ยังไม่พร้อมสำหรับเกมนี้ ยังต้องนั่งอยู่ข้างสนามต่อไป

    คาดว่า มิเกล อาร์เตต้า จะมาในระบบ 4-3-3 นำโดย กัปตันทีม ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง, ดาวิด ลุยซ์, วิลเลี่ยน, ดานี่ เซบายอส และ โธมัส ปาร์เตย์ นักเตะใหม่มีโอกาสได้เล่นตัวจริงเป็นเกมแรกด้วย

เลสเตอร์ ซิตี้ :

    ด้านทีมเยือน เลสเตอร์ ของกุนซือ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส พาทีมแพ้ในลีกมา 2 นัดติดต่อกัน แต่นัดล่าสุดลงเล่นในศึกยูโรปา ลีก เมื่อกลางสัปดาห์เอาชนะ ซอร์ย่า ได้ 3-0

    โดยเกมนี้ทีมจะไม่มี  ริคาร์โด้ เปเรยร่า, คักลาร์ โซยุนชู, แดเนียล อามาร์ตีย์ และ วิลเฟร็ด เอ็นดิดี้ บาดเจ็บอยู่ทั้งหมด แต่ในรายของ เจมี่ วาร์ดี้ ศูนย์หน้าตัวเก่งที่บาดเจ็บที่น่องและพลาดการลงสนามมา 3 นัดหลังสุด นัดนี้ต้องรอเช็กความฟิต แต่คาดว่าจะฟิตและลงช่วยทีมได้

    การจัดทัพ ทีมเยือนน่าจะมาในระบบเก่ง 4-1-4-1 โดยมี เวสลี่ย์ โฟฟาน่า กับ จอนนี่ อีแวนส์ เป็นคู่เซนเตอร์แบ็ก ด้านแบ็กขวา-ซ้ายใช้ทาง ทิโมธี กาสตานเญ่ กับทาง เจมส์ จัสติน แดนกลางมี น็อมปาลิส เมนดี้ เป็นตัวตัดเกม ด้านตัวทำเกมสองคน เป็น ยูริ ตีเลอมันส์ กับทาง เจมส์ แมดดิสัน ส่วนฝั่งริมเส้นขวาซ้าย ใช้งาน อาโยเซ่ เปเรซ กับทาง ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ และ กองหน้าตัวเป้า เป็น เจมี่ วาร์ดี้ ที่กลับมาลงเล่นให้กับทีมได้

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

    อาร์เซน่อล (4-3-3) : แบรนด์ เลโน่ – เอ็คตอร์ เบเยริน, ดาวิด ลุยซ์, กาเบรียล มากัลเญส, คีแรน เทียร์นี่ย์ – ดานี่ เซบายอส, โธมัส ปาร์เตย์, กรานิต ชาคา – นิโกล่าส์ เปเป้, วิลเลี่ยน, ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง
    ผู้จัดการทีม : มิเกล อาร์เตต้า

    เลสเตอร์ ซิตี้ (4-1-4-1) : แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล – ทิโมธี กาสตานเญ่, เวสลี่ย์ โฟฟาน่า, จอนนี่ อีแวนส์, เจมส์ จัสติน – น็อมปาลิส เมนดี้ – อาโยเซ่ เปเรซ, ยูริ ตีเลอมันส์, เจมส์ แมดดิสัน, ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ – เจมี่ วาร์ดี้ (เคเลชี่ อิเฮียนาโช่)
    ผู้จัดการทีม : เบรนแดน ร็อดเจอร์ส

    ผู้ตัดสิน : เคร็ก เพาสัน

ทอฟฟี่แตก!อันเช่เปิดใจหลังเกมเอฟเวอร์ตันโดนเซาธ์แฮมป์ตันสอย

คาร์โล อันเชลอตติ กุนซือเอฟเวอร์ตัน เปิดใจถึงผลงานของทัพ "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" ในแมตช์ออกไปโดน เซาธ์แฮมป์ตันสอย เกมลีกเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา พร้อมชี้จังหวะที่ ลูก้าส์ ดีญ โดนใบแดงเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมสำหรับนักเตะเลย
    คาร์โล อันเชลอตติ ผู้จัดการทีมชาวอิตาเลียนของ เอฟเวอร์ตัน ยอมรับแมตช์นี้ลูกทีมของตนทำผลงานได้น่าผิดหวัง ส่งผลให้ต้องออกไปพ่าย "นักบุญ" เซาธ์แฮมป์ตัน 0-2 ที่สนามเซนต์ แมรี่ส์ ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา

    เซาธ์แฮมป์ตันทำผลงานได้อย่างดุดันโดนได้สองประตูจาก เจมส์ วอร์ด-เพราส์  กับ เช อดัมส์ ในช่วงครึ่งแรก ขณะที่ครึ่งหลังในนาทีที่ 72 "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" ต้องมาเสียเปรียบเมื่อ ลูก้าส์ ดีญ ไปเข้าหนักใส่ ไคล์ วอล์คเกอร์-ปีเตอร์ส ผู้ตัดสินควักใบแดงไล่ออกจากสนามทันที

    สำหรับการออกไปแพ้ "นักบุญ" ในแมตช์นี้ทำให้ เอฟเวอร์ตัน พ่ายเป็นเกมแรกในลีกฤดูกาลนี้ ทำให้ตอนนี้ทีมมี 13 คะแนนเท่ากับ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล แต่ผลต่างประตูได้เสียเหนือกว่าจึงยังคงยึดตำแหน่งจ่าฝูงลีกต่อไป โดยหลังจบเกม อันเชลอตติ ยอมรับว่าผลงานของนักเตะในแมตช์นี้น่าผิดหวังมากๆ

    "มันไม่ใช่วันที่ดีและก็ไม่ใช่ฟอร์มที่ดีสำหรับเรา เราอยู่ที่นี่เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการพ่ายแพ้เกมแรก และผมรู้สึกว่าเราต้องพัฒนาต่อไปอีก แน่นอนว่าเราไม่อยากแพ้ แต่ในวงการฟุตบอลเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ เราต้องมองไปข้างหน้าจากเกมนี้ พร้อมกับยังคงมีความเชื่อมั่นอย่างที่เราเคยมี แต่เรื่องแบบนี้ มันเกิดขึ้นได้"

    ขณะเดียวกัน "คาร์เล็ตโต้" ยังได้กล่าวถึงกรณีที่ ดีญ โดนไล่ออกจากสนามว่า "ผมคิดว่ามันรุนแรงมากๆ เราจะทำการอุทธรณ์ในเรื่องนี้ มันไม่ใช่จังหวะที่เจตนาทำเลย มันไม่ใช่พฤติกรรมที่รุนแรง จริงๆ แล้วแค่ใบเหลืองก็พอแล้ว แต่นี่ไม่ใช่พฤติกรรมที่รุนแรง และใบแดงถือว่าไม่ยุติธรรม"

เจ็บเยอะ,ลุ้นแนวรุกเด็ด ! วิเคราะห์ 5 ข้อ ลิเวอร์พูล รับมือ มิดทิลแลนด์

ลิเวอร์พูล ยังคงต้องเจอกับปัญหาเรื่องอาการบาดเจ็บของนักเตะหลายคนทำให้แผนการโรเตชั่นของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ต้องเจอกับความยากลำบากพอสมควร สำหรับแมตช์รับมือ มิดทิลแลนด์ ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม ดี ในวันอังคารที่ 27 ตุลาคมนี้
    "หงส์แดง" หมดสิทธิ์ใช้ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ในฐานะหัวใจเกมรับ ทำให้ทีมยังต้องพึ่งพา ฟาบินโญ่ ในตำแหน่งนี้ ขณะที่แผงกองกลางก็ไม่มี ติอาโก้ อัลกันตาร่า กับ นาบี เกอิต้า ที่ยังมีปัญหาบาดเจ็บ เช่นเดียวกับ โฌแอล มาติป ที่จะต้องพลาดแมตช์นี้เช่นกัน

    อย่างไรก็ตามการที่ "เดอะ เร้ดส์" ได้ อลีสซง เบ็คเกอร์ คอยทำหน้าที่เฝ้าเสา อย่างน้อยๆ ก็รู้สึกอุ่นใจ ในส่วนของแนวรุกงานนี้ คล็อปป์ อาจจะใช้ออปชั่นพิเศษในการเลือก ทาคูมิ มินามิโนะ ลงเล่นตัวจริงหลังจากนักเตะทำผลงานได้ดีแม้จะเป็นแค่ตัวสำรองในช่วงที่ผ่านมาก็ตาม

1. ปัญหาบาดเจ็บส่งผลระบบโรเตชั่นรวน

    ลิเวอร์พูล ยังคงต้องเจอกับวิบากกรรมเรื่องปัญหานักเตะบาดเจ็บหลายคน นั่นหมายความว่าไม่ใช่งานง่ายสำหรับ เจอร์เก้น คล็อปป์ ในการที่จะใช้ระบบโรเตชั่นสำหรับแมตช์รับการมาเยือนของ มิดทิลแลนด์ แชมป์ลีกจากประเทศเดนมาร์ก

    แน่นอนว่า "หงส์แดง" จะไม่มี เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ที่ต้องผ่าตัดเอ็นไขว้หัวเข่า และมีแนวจะต้องพักนานหลายเดือน ขณะที่ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ยังไม่มีทีท่าว่าจะหายบาดเจ็บกลับมาช่วยทีมได้ นอกจากนี้ในเกมรับพวกเขายังไม่มี โฌแอล มาติป เช่นเดียวกันแผงกองกลางที่ขาด ติอาโก้ อัลกันตาร่า และ นาบี เกอิต้า ซึ่งทั้งหมดนี้มีปัญหาบาดเจ็บ ไม่ได้ลงเล่นในเกมลีกสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และยังไม่พร้อมที่จะช่วยทีมในแมตช์ถ้วยใบโตยุโรป

    ในรายของ ติอาโก้ ซึ่งคาดว่านักเตะจะฟิตร่างกายกลับมาช่วยทีมได้ในเกมปะทะ "ขุนค้อน" เวสต์แฮม ยูไนเต็ด จำเป็นต้องให้พักร่างกายเพื่อเป็นการป้องกันเอาไว้ก่อน หลังจากที่เจ้าตัวได้รับบาดเจ็บจากการเข้าเสียบอย่างรุนแรงของ ริชาร์ลิสัน ในเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ เสมอ เอฟเวอร์ตัน

    ส่วนการขาดหายไปของ มาติป แน่นอนว่า นายใหญ่เลือดด๊อยท์ช จำเป็นต้องใช้ ฟาบินโญ่ ยืนเป็นคู่หูเซนเตอร์แบ็กกับ โจ โกเมซ ต่อไปอีกแมตช์ ซึ่งจะว่าไปแล้วทั้งสองคนก็ทำผลงานได้เข้าขากัน และมีการพัฒนาในเรื่องเกมรับที่ดีวันดีคืน

    สำหรับแบ็กขวา เนโก วิลเลี่ยมส์ ยังเป็นตัวเลือกที่ กุนซือชาวเยอรมัน อาจจะใช้งานหากต้องการพัก เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ด้านแบ็กซ้าย คอสตาส ซิมิคาส ยังมีปัญหาบาดเจ็บ ทำให้ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ยังคงต้องลงเล่นตัวจริงต่อไป
 
2. แผงกองกลางขาดเยอะ แนวรุกหน้าอาจเปลี่ยนโฉม

    สำหรับแผงมิดฟิลด์ในเวลานี้ตัวเลือกสำคัญอย่าง ติอาโก้ และ เกอิต้า ยังมีปัญหาบาดเจ็บ และจำเป็นต้องพักฟื้นร่างกายอีกหลายวัน ขณะที่ ฟาบินโญ่ จำเป็นต้องขยับลงไปเล่นเป็นเซนเตอร์แบ็ก นั่นหมายความว่า คล็อปป์ มีทางเลือกไม่มากนักในการจัดแดนกลางแมตช์นี้

    ขณะเดียวกันดูเหมือนว่า คล็อปป์ ต้องการที่จะพักร่างกายของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ซึ่งกรำศึกหนักมาหลายแมตช์ ด้วยเหตุนี้ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าแผงกองกลางจะได้เห็น เจมส์ มิลเนอร์ ทำหน้าที่ร่วมกับ จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม โดยมี เคอร์ติส โจนส์ มิดฟิลด์ดาวรุ่งพุ่งแรง เป็นตัวเลือกหากเกิดกรณีฉุกเฉิน

    ส่วนอีกรายที่น่าจะได้ลงสนามนั่นก็คือ เซอร์ดาน ชากีรี่ ที่จะได้ทำงานร่วมกับ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ ดีโอโก้ โชต้า โดยมี ทาคูมิ มินามิโนะ เป็นออปชั่นเสริม ขณะที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยังคงเป็นตัวหลักในการไร้ล่าตาข่ายคู่แข่ง ด้าน ซาดิโอ มาเน่ คงจะได้พักในแมตช์นี้

    อย่างไรก็ตาม คล็อปป์ อาจจะปรับหมากด้วยการเลือกพัก เทรนต์ อเล็กซ์เดอร์-อาร์โนลด์ และส่ง เนโก วิลเลี่ยมส์ ลงไปยืนประจำการแบ็กขวา ส่วนแผงกองกลางอาจจะยังคงใช้งาน เฮนเดอร์สัน กับ ไวจ์นัลดุม เพื่อหวังที่จะจัดการ มิดทิลแลนด์ ให้เด็ด

    ในส่วนของเกมรุกต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่สาวก "เดอะ ค็อป" หลายคนคาดหวังเอาไว้นั่นก็คือการได้เห็น มินามิโนะ ลงเล่นตัวจริงแทน ฟีร์มีโน่ โดยมี โชต้า กับ มาเน่ คอยยืนเคียงข้างขวาและซ้าย ส่วน "บังโม" ยังคงได้รับความไว้วางใจให้ยืนเป็นหน้าเป้าเหมือนเดิม

3. มิดทิลแลนด์ ไม่ได้แกร่งแต่ไม่หมูนะครับ

    แม้ว่า มิดทิลแลนด์ จะไม่ใช่สโมสรฟุตบอลที่หลายๆ คนรู้จักมากนัก แต่พวกเขาก็ถือเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จพอสมควร โดยทีมชุดนี้ได้กุนซือสมองเพชรอย่าง ไบรอัน พริสเก้ ทำหน้าที่วางหมาก และผงาดคว้าแชมป์ศึก เดนิช ซูเปอร์ลีก้า เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา

    รวมไปถึงการคว้าแชมป์ลีกในซีซั่น 2014/2015 และ 2017/2018 นอกจากนี้พวกเขายังได้แชมป์ เดนิช คัพ เป็นสมัยแรกเมื่อฤดูกาล 2018–19 ผลงานของทีมชุดนี้ก็คล้ายๆ กับ ลิเวอร์พูล เพราะ มิดทิลแลนด์ เก็บได้ 13 คะแนนจากการแข่ง 6 แมตช์แรกในซีซั่นปัจจุบัน รั้งอันดับ 2 ในตารางลีกตามหลัง  ซอนเดอร์ไจสกี้ จ่าฝูง ด้วยผลต่างประตูได้เสียเท่านั้น

    แม้ว่าทีมของกุนซือไบรอัน พริสเก้ ลงเล่นเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก แมตช์แรกด้วยการแพ้ อตาลันต้า 0-4 คาบ้านก็ตาม แต่งานนี้มีหลายเสียงเห็นพ้องต้องการว่ารูปเกมของเจ้าบ้านไม่ควรแพ้สกอร์เยอะขนาดนี้ เนื่องจาก มิดทิลแลนด์ เล่นได้ดีเยี่ยมแต่ขาดแค่ความเฉียบคมเท่านั้น

    ที่สำคัญแมตช์นี้จะเป็นครั้งแรกที่ มิดทิลแลนด์ จะได้พบกับ ลิเวอร์พูล ฉะนั้นสิ่งนี้อาจจะเป็นแรงกระตุ้นที่ดีเยี่ยมที่ทำให้ผู้มาเยือนจากแดนโคนมมีพลังแฝงในการสู้กับแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาลล่าสุด เพราะการชนะ "เดอะ เร้ดส์" ในแอนฟิลด์ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สำหรับทีมเล็กๆ และคงจะถูกจดจำในหน้าประวัติศาสตร์ลูกหนังเลยทีเดียว

4. แอนฟิลด์ ดินแดนสยองสำหรับทีมเยือน

    ในเกมลีกสูงสุดเมืองผู้ดี ต้องยอมรับว่าสนามแอนฟิลด์ เป็นสถานที่ที่ทีมเยือนต้องขาสั่น เพราะพวกเขาไม่แพ้ในบ้านเฉพาะเกมพรีเมียร์ลีกนานถึง 62 แมตช์เข้าไปแล้ว อย่างไรก็ตามในแมตช์ฟุตบอลถ้วยยุโรป เมกกะลูกหนังแห่งนี้ก็ยังคงมีมนต์ขลังเช่นกัน

    "เดอะ เร้ดส์" ไม่เคยแพ้ 2 นัดติดต่อกันกับการเล่น  90 นาทีในแอนฟิลด์ตลอด 45 แมตช์ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และ ยูฟ่า ยูโรปา ลีก ซึ่งแน่นอนว่าสถิตินี้เป็นสิ่งที่น่าเกรงขามสำหรับทีมเยือนในการที่จะต้องดวลกับแชมป์ถ้วย "บิ๊กเอียร์" 6 สมัย

    สำหรับ ลิเวอร์พูล พวกเขาไม่แพ้ใครในบ้านสองนัดติดต่อกันนับตั้งแต่ฤดูกาล 2009/2010 โดยในครั้งนั้น ยอดทีมแห่งถิ่นแอนฟิลด์ โดนลูบคมด้วยฝีเกือกของ "โอแอล" โอลิมปิก ลียง และ "ม่วงมหากาฬ" ฟิออเรนติน่า ซึ่งสกอร์เท่ากันนั่นก็คือ 2-1

    ส่วนความพ่ายแพ้คาแอนฟิลด์ แมตช์ล่าสุดในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายเมื่อซีซั่นที่ผ่านมา เป็นเกมรับมือ "ตราหมี" แอตเลติโก มาดริด อย่างไรก็ตามชัยชนะ 3-2 ที่ทีมของกุนซือ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ ทำได้ เกิดขึ้นจากการต้องลงเล่นในช่วงต่อเวลาพิเศษ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

5. ส่อง 2 ระบบที่ คล็อปป์ จะนำมาใช้ในแมตช์รับมือ มิดทิลแลนด์

แผน 1

ผู้รักษาประตู : อลีสซง เบ็คเกอร์

กองหลัง : เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, ฟาบินโญ่, โจ โกเมซ, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน

กองกลาง : จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม, เจมส์ มิลเนอร์

แนวรุก : เซอร์ดาน ชากีรี่, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, ดีโอโก้ โชต้า

หน้าเป้า : โมฮาเหม็ด ซาลาห์

 แผน 2

ผู้รักษาประตู : อลีสซง เบ็คเกอร์

กองหลัง : เนโก้ วิลเลี่ยมส์, ฟาบินโญ่, โจ โกเมซ, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน

กองกลาง : จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน

แนวรุก : ดีโอโก้ โชต้า, ทาคูมิ มินามิโนะ, ซาดิโอ มาเน่

หน้าเป้า : โมฮาเหม็ด ซาลาห์

คาวานี่ต้องมา!ส่อง2แผนเด็ดแมนยูรับมือเชลซี

คาด 2 แผนเด็ดที่ แมนฯ ยูไนเต็ด จะใช้รับมือ เชลซี ในเกม พรีเมียร์ลีก วันเสาร์นี้ หลังเพิ่งโชว์ฟอร์มเยี่ยมบุกไปอัด เปแอสเช ในถ้วยยุโรป
     โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังมีลุ้นพา "ปีศาจแดง" เก็บชัยชนะ 3 นัดติดในทุกรายการ หลังจากสองเกมที่ผ่านมาบุกไปถล่ม นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 4-1 ใน พรีเมียร์ลีก และออกไปเฉือน ปารีส แซงต์-แชร์กแมง 2-1 ในถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

    แมนฯ ยูไนเต็ด มีโปรแกรมนัดต่อไปด้วยการเปิดรัง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ต้อนรับการมาเยือนของ เชลซี ใน พรีเมียร์ลีก วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคมนี้ โดยที่ โซลชา จะหมดสิทธิ์ใช้งาน อองโตนี่ มาร์กซิยาล กองหน้าชาวฝรั่งเศส ที่ยังติดโทษแบน แต่ เอดินสัน คาวานี่ ดาวยิงคนใหม่พร้อมลงสนามแล้ว

    ส่วนนักเตะรายอื่นๆ ที่ยังไม่พร้อมลงสนามคือ เอริกไบยี่ และ เจสซี่ ลินการ์ด ที่มีอาการบาดเจ็บรบกวนทั้งคู่ และเกมนี้สื่ออังกฤษคาดว่า โซลชา จะใช้ 2 แท็กติกนี้ลงบู๊กับ เชลซี

    1. ระบบ 3-4-1-2

    โซลชา ใช้แผนนี้ได้ผลในเกมบุกไปชนะ เปแอสเช โดยเฉพาะ อั๊กเซล ตวนเซเบ้ ที่โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมสามารถรับมือกับ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ และ เนย์มาร์ ได้อยู่หมัด

    ส่วนอีก 2 รายในระบบกองหลัง 3 คนน่าจะเป็น แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ที่ได้กลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้ง และ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ โดยมี ดาบิด เด เคอา ยืนเฝ้าเสา

    ส่วนแผงกลาง 4 คนให้ อารอน วาน-บิสซาก้า กับ อเล็กซ์ เตลลิส ทำหน้าที่วิงแบ็ก ส่วนคู่กลางใช้ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ กับ ปอล ป็อกบา

    ด้านแนวรุกให้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส คอยทำเกมอยู่หลังคู่กองหน้า คาวานี่ กับ มาร์คัส แรชฟอร์ด

    2. ระบบ 4-2-3-1

    แผนนี้จะกลับมาใช้ระบบกองหลัง 4 คน โดยให้ ตวนเซเบ้ ลงมาเป็นตัวจริงแทน แม็กไกวร์ คู่กับ ลินเดอเลิฟ ขณะที่ วาน-บิสซาก้า ทำหน้าที่แบ็กขวา และ ลุค ชอว์ ประจำการแบ็กซ้าย

    ส่วนมิดฟิลด์คู่กลางใช้ เนมานย่า มาติช ประสานงานกับ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค ขณะที่ 3 แนวรุกให้ แดเนียล เจมส์ ยืนฝั่งขวา และ แรชฟอร์ด เล่นทางด้านซ้าย

    ด้าน บรูโน่ ยืนสูงคอยทำเกม อยู่หลัง คาวานี่ ที่จะทำหน้าที่กองหน้าตัวเป้า

จบกันไม่ได้เอง!โซลชาแอบเสียดายแมนยูแค่เจ๊าเชลซี

 

โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กุนซือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รู้สึกเสียดายเล็กๆ ที่ "ปีศาจแดง" ทำได้แค่เปิดบ้านเจ๊า เชลซี 0-0 เชื่อทั้งสองทีมต่างล้ามาจากเกมยุโรป
     โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เชื่อว่า ทีมตนสร้างโอกาสทำประตูได้มากพอที่จะเป็นฝ่ายชนะ หลัง "ปีศาจแดง" ทำได้แค่เปิดรัง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เสมอ เชลซี 0-0 ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัดบิ๊กแมตช์ เมื่อวันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา

     เกมนี้ไม่มีการทำประตูเกิดขึ้น แต่เป็น แมนฯ ยูไนเต็ด ที่มีโอกาสได้ลุ้นมากกว่า แถมเป็นโอกาสสวยๆ ถึง 2-3 หนด้วย ทว่าไม่สามารถส่งบอลผ่านมือ เอดูอาร์ เมนดี้ นายทวารจอมหนึบของ เชลซี ได้ โดยเฉพาะจังหวะที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด ได้ยิงเน้นๆ ช่วงท้ายเกม

     "ทั้งสองทีมต่างเพิ่งลงเตะเกมยุโรปมา และผมก็คิดว่า มันส่งผลให้เห็นบ้างเล็กน้อยกับการเล่นทั้งสองทีมช่วงครึ่งแรก ช่วงครึ่งหลังเราพยายามกันอย่างหนัก ซึ่งถ้าหากมีแฟนบอลเต็มอัฒจันทร์ฝั่ง สเตรทฟอร์ด เอนด์ ล่ะก็ เราคงจะทำประตูได้ไปแล้ว เพราะเราสร้างโอกาสได้หลายครั้ง ซึ่งอาจจะมากพอที่จะเป็นฝ่ายชนะด้วย ส่วนเกมรับก็เล่นกันได้ดี ถือเป็นสัปดาห์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับเรา กับผลงานชนะสอง และเสมอหนึ่ง" โซลชา กล่าวหลังเกม

     ผลเจ๊าจากเกมนี้ทำให้ "ปีศาจแดง" มีคะแนนเพิ่มเป็น 7 แต้ม จากการลงแข่ง 5 นัด รั้งอันดับ 15 ส่วน เชลซี อยู่ที่หก มี 9 แต้ม จาก 6 นัด